ยาหม่องเสือทองไทเกอร์

สูตรร้อนสมุนไพรธรรมชาติ บรรเทาอาการปวดเมื่อยอย่างล้ำลึก

ยาหม่องเสือทองไทเกอร์ พัฒนาจากภูมิปัญญาสมุนไพรไทยดั้งเดิม ผสานความร้อนจากธรรมชาติที่ทรงพลัง ด้วยน้ำมันพริก น้ำมันงา และขิง ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นตึง เคล็ดขัดยอก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนผสมหลักและคุณประโยชน์

น้ำมันพริก อุดมด้วยสารแคปไซซิน ให้ความร้อนเฉพาะจุด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดอาการปวดตึง และบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบ

น้ำมันงา มีวิตามินอีสูง ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว พร้อมเป็นตัวพาสารสำคัญซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี ไม่เหนียวเหนอะหนะ

ขิง
สมุนไพรพื้นบ้านที่มีฤทธิ์ร้อน ช่วยลดการอักเสบ คลายเส้นและบรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายหลังใช้

เหมาะสำหรับ
ผู้มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดข้อ
ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีอาการเส้นตึง
นักกีฬา หรือผู้ที่ใช้งานร่างกายหนัก
ผู้ที่ต้องการความร้อนเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้ออย่างเป็นธรรมชาติ

ทำไมต้อง “ทองไทเกอร์”
✅ สูตรเฉพาะของบริษัท เซี้ยต้า รุ่งเรือง กรุ๊ป จำกัด
✅ ใช้สมุนไพรแท้จากธรรมชาติ
✅ กลิ่นหอมร้อนผ่อนคลาย ไม่ฉุนแรง
✅ พกพาง่าย ใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา

ทองไทเกอร์ – เสือสมุนไพรไทยแท้ พร้อมลุยทุกอาการเมื่อยล้า

ยาขิง ตรา ทองทรงไทย

สูตรร้อนสมุนไพรธรรมชาติ บรรเทาอาการปวดเมื่อยอย่างล้ำลึก

ในช่วงที่ผ่านมามี ทั้งฝนตก โควิด หรือว่าอากาศแห้งฝุ่น PM2.5 เยอะ ทำให้ใครหลายคน มีอาการ ไอ เจ็บคอ ไม่สบาย การทานขิงก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ช่วยบรรเทาอาการได้ อีกทั้งขิงยังเป็นยาและมีประโยชน์มากมาย

มารู้จักกับขิง

ขิงเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง เป็นพืชล้มลุก อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ ข่า ขมิ้น มีลักษณะเป็นเหง้าหรือลำต้นใต้ดินที่มีกลิ่น รสชาติเผ็ดร้อน มีคุณสมบัติเป็นยาได้ และสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งนำมาประกอบอาหาร หรือนำมาทำเป็นยาสมุนไพรที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณก็ได้เช่นกัน

8 สรรพคุณและคุณประโยชน์จากขิง

· เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

ขิงมีน้ำมันหอมระเหยที่เรียกว่า จินเจอร์รอล (Gingerol) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟีนอล มีส่วนกระตุ้นและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เพราะสารต้านอนุมูลอิสระจะมีหน้าที่ในการจับและยับยั้งอนุมูลอิสระ แม้ว่าโดยปกติแล้วร่างกายของเราสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้ แต่จะสร้างได้ในปริมาณที่จำกัดเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องบริโภคผัก ผลไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย

· ป้องกันไข้หวัด

อย่างที่ได้กล่าวไปว่าในขิงมีสาร จินเจอร์รอล (Gingerol) ที่นอกจากจะต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการทำลายและลดการสะสมของไวรัสในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นขิงจึงมีสรรพคุณในการต่อสู้กับโรคหวัดและอาการไข้ได้

· แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน

ขิงสามารถบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการเมารถหรือเมาเรือ รวมถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการจากการแพ้ท้องด้วยเช่นกัน

· ขิงช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร

เพราะขิงช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย เนื่องจากในขิงมีสาร ซิงเจอโรน (Zingerone) ที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย จึงสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E.coli) ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุการเกิดอาการท้องเสีย ท้องร่วง และอุจจาระเหลวได้

· ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

ขิงมีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยกระตุ้นการเผาผลาญกลูโคสในร่างกาย โดยช่วยให้เซลล์กล้ามเนื้อกับเซลล์ไขมันนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานมากขึ้นเป็นการเพิ่มการเผาผลาญให้กับร่างกาย

· ลดอาการท้องอืด

ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและบรรเทาอาการระคายเคืองในลำไส้ ทำให้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นท้อง บรรเทาลงได้

· บรรเทาอาการปวดไมเกรน

สารจินเจอร์รอล (Gingerol) ยังมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบและลดอาการปวดในร่างกายได้ เพราะสารตัวนี้จะช่วยลดการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ที่ทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบ รวมถึงคนที่ปวดประจำเดือนด้วยเช่นกัน

· ลดกลิ่นปาก และ รักษาสุขภาพช่องปาก

เพราะสารต้านเชื้อแบคทีเรียในขิง มีส่วนช่วยในการลดกลิ่นปากและลดคราบพลัคแบคทีเรียในช่องปาก รวมถึงลดการปวดฟันและอักเสบได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการรับประทานขิง

• เนื่องจากขิงมีรสเผ็ด มีฤทธิ์ร้อน จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุณหภูมิร่างกายสูง เช่น ผู้ที่เหงื่อออกมาก หรือผู้ที่เพิ่งออกกำลังกายก็ควรรับประทานอย่างระมัดระวัง

• อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนสำหรับสตรีมีครรภ์ได้

• ถ้าหากทานขิงในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เยื่อบุภายในช่องปากเกิดการอักเสบ จนเกิดเป็นร้อนในได้ ต้องทานในปริมาณที่พอเหมาะ

• ขิง ช่วยยับยั้งการแข็งตัวของเลือด จึงทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ที่รับประทานยาสลายลิ่มเลือดควรงดบริโภคขิง เพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดห้อเลือดหรือมีเลือดออกได้

ดูแลไตให้ดี ได้สุขภาพดี

ดูแลไต ให้ได้สุขภาพดี เราช่วยเหลือไตได้ เพื่อให้กระบวนการกำจัดสารพิษทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ด้วย 5 ข้อนี้

  1. เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
    ผักและผลไม้สด
    ธัญพืชเต็มเมล็ดแทนธัญพืชที่ผ่านการขัดสีแล้ว
    อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง เช่น ถั่ว ปลาที่มีไขมันสูง
    จำกัดการรับประทานเนื้อแดง และอาหารที่มีไขมันสูง
    หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูปประเภทเนื้อหมัก เนื้อกระป๋อง และมันฝรั่งทอด
    เกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน และน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
  2. ดื่มน้ำให้มากขึ้น
    ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน การดื่มน้ำช่วยสนับสนุนให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างราบรื่น กรองสารพิษออกจากเลือดและขับสารพิษทางปัสสาวะ
    หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง หรือบรรดา soft drink ทั้งหลาย
  3. ไม่สูบบุหรี่
    สารพิษที่อยู่ในบุหรี่จะเข้าไปในกระแสเลือด และส่งผลต่อหัวใจและไต คนสูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในภาวะไตวายมากถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่สูบบุหรี่
  4. หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวดต้านการอักเสบ
    โดยเฉพาะยาแก้ปวดต้านการอักเสบที่ต้องทานหลังอาหารทันทีมักมีพิษต่อไต และการทานยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะเร่งให้การทำงานของไตเสื่อมถอยลง
  5. **หากมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แนะนำใช้ บาล์ม น้ำมันนวด หรือ ครีมนวดบรรเทาอาการปวด ที่มีส่วนผสมของสารสกัด แคปไซซิน (Capsaicin) มีคุณสมบัติที่หลากหลาย เช่น กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต, ลดการอักเสบ, และช่วยลดอาการปวดเมื่อย.**

  6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    ช่วยทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานดีขึ้น
    กระตุ้นการกำจัดของเสียที่สะสมในเลือด
    ช่วยควบคุมความดันโลหิต

“ท้องอืด ต้องใช้ขมิ้นชัน”

ขมิ้นชัน ช่วยกระตุ้นกระบวนการหลั่งน้ำดีออกมาย่อยอาหารได้ดีขึ้น อีกทั้งฤทธิ์ร้อนจากน้ำมันหอมระเหยของขมิ้นชัน ช่วยขับลม ทำให้ อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ดีขึ้น

ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย ปัจจุบันมีการนำมาประกอบอาหาร ให้มีสีสัน สวยงาม หอมกลิ่นเครื่องเทศ นำมาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และนำมาเป็นยารักษาโรค ที่ถูกจัดอยู่ในยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ช่วยในเรื่อง ของบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง จนได้ชื่อว่า มหัศจรรย์สมุนไพรไทย

จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบัน พบว่าขมิ้นชันสามารถใช้บรรเทาอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย
ได้เทียบเท่ากับ Omeprazole